วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มารู้จักกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์กันดีกว่า...

 มาทำความรู้จักกอจกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์กันดีกว่าครับ  ว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง

การเดินป่า (Hiking/ Trekking)



กิจกรรมศึกษาธรรมชาติ (Nature education) 



กิจกรรมถ่ายรูปธรรมชาติ บันทึกเทปวีดีโอ เทปเสียงธรรมชาติ (Nature photography video taping and sound of nature audio taping) 


กิจกรรมส่องสัตว์/ดูนก (Animal/Bird Watching) 


กิจกรรมศึกษา/เที่ยวถ้ำ (Cave exploring/ Visitig) 


กิจกรรมศึกษา ท้องฟ้าและดาราศาสตร์ (Sky interpretation) 


กิจกรรมล่องเรือศึกษาธรรมชาติ (Boat sightseeing) 


กิจกรรมพายเรือแคนู (Canoeing)/ เรือคะยัค (Kayak) / เรือบด (Rowboating)/ เรือใบ (Sailboating) 


กิจกรมดำน้ำชมปะการังน้ำตื้น (Snorkle or Skiln Diving) 


กิจกรรม ดำน้ำลึก (Scuba Diving)  

การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ คืออะไร

ทุกวันนี้กระแสการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์มาแรงมาก ซึ่งใครหลายๆคนก็คงจะสงสัยว่าการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ว่านี้มันคืออะไร เพื่อไม่ให้ตกแทรนเราไปรู้จักการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์กันดีกว่าครับ
 
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ หรือ Eco-Tourismนั้น โดยความหมายก็คือ การพัฒนาการท่องเที่ยวที่ต้องใช้ธรรมชาติอย่างมัธยัสถ์ให้มีความมั่นคง ยั่งยืน และในท้ายที่สุดจะต้องคืนทุนต่อสังคม ซึ่งหมายถึงการให้ท้องถิ่นได้มีโอกาสตั้งแต่เริ่มรับรู้ตัดกระบวนการที่ สมบูรณ์ในการพิจารณาทั้งในเรื่องทุนธรรมชาติและทุนทางสังคม ซึ่งส่งผลต่อทุนทางเศรษฐกิจที่ดำรงอยู่ได้

การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เป็นแนวความคิดที่เกิดขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากแนวโน้ม ๒ ประการมาบรรจบกันคือ แนวโน้มเกี่ยวกับการอนุรักษ์และแนวโน้มเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงเรื่อง อุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยมีสาระสำคัญเรื่องแนวโน้มเรื่องการอนุรักษ์ เกิดจากการที่ประชาชนเพิ่มขึ้น และภาวะทางเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ กิจกรรมการพัฒนาต่าง ๆ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การทำเหมืองแร่ และการเกษตรเกิดขึ้นภายในบริเวณทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศ จนทำให้ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม และผลที่ตามมาคือความไม่ยั่งยืนของการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศต่าง ๆ ได้พยายามผสมผสานเรื่องของการอนุรักษ์เข้ากับการพัฒนาเศรษฐกิจ

การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการคือ องค์ประกอบแรก คือ การสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถือว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญของแกล่งท่อง เที่ยวธรรมชาติ หากธรรมชาติและระบบนิเวศได้รับผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ในรูปแบบใดก็ตาม โอกาสที่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะเสื่อมโทรมลงหรือถูกทำลายลงก็มีอยู่สูง การให้ความรู้ความเข้าใจหรือการสร้างจิตสำนึกแก่นักท่องเที่ยวหรือผู้มา เยือนจึงเป็นสิ่งสำคัญ

            องค์ประกอบข้อ 2 คือความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว ซึ่งมีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบแรกโดยตรง เพราะนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์มักเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความปรารถนา หรือสนใจที่จะศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติในลักษณะต่าง ๆ และสภาพภูมิทัศน์ตามธรรมชาติ ตลอดจนธรรมชาติที่ยากลำบากต่อการเดินทางและท้าทาย

            องค์ประกอบที่ 3 คือ การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น เพราะการท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ ชุมชนท้องถิ่นในระยะยาวมากว่ากิจกรรมอื่น ๆ การเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในรูป แบบต่าง ๆ จะช่วยให้ชุมชนได้รับผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม รูปแบบของการมีส่วนร่วมของชุมชน ได้แก่ การลงทุนเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดเล็กที่ส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่ำ การเป็นมัคคุเทศก์ การนำสินค้าที่เป็นศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านมาขายแก่นักท่องเที่ยว และการจ้างงานในส่วนบริการอื่น ๆ เป็นต้น

  การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์นั้น มีความแตกต่างจากการท่องเที่ยวแบบเดิม กล่าวคือ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์จะมีขอบข่ายในการพิจารณาที่ลึกซึ้งและให้ความ สำคัญกับการอนุรักษ์เป็นหลัก ซึ่งสามารถระบุวัตถุประสงค์ได้ 4 ประการ คือ
            1. เพื่อพัฒนาจิตสำนึกและความเข้าใจของนักท่องเที่ยวในการทำคุณประโยชน์แก่สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
           2. เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ที่มีคุณภาพหรือคุณค่าสูงให้แก่นักท่องเที่ยวหรือผู้มาเยือนแหล่งท่องเที่ยว
           3. เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของชุมชนที่แหล่งท่องเที่ยวตั้งอยู่
           4. เพื่อดูแลรักษาและคงไว้ซึ่งคุณภาพสิ่งแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยว
            นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ที่น่าสนใจของชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมด้วย

อ้างอิง
 International Public Relations Division
Tourism Authority of Thailand
Web site: www.tatnews.org
http://www.tatnews.org/tat_release/detail.asp?id=5415

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เกาะที่ดีที่สุดในโลก

อันดับ 1 เกาะโบราเคย์ (Boracay Island) ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ สำคัญของประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines) เกาะโบรา เคย์ อยู่ห่างจากกรุงมะนิลา (Manila) เมืองหลวงของประเทศ ฟิลิปปินส์ไปทางทิศใต้ประมาณ ประมาณ 315 กม. (196 ไมล์)


อันดับ 2 เกาะบาหลี (Bali Island) ประเทศอินโดนีเซีย เป็น เกาะในหมู่เกาะซุนดาน้อย (Lesser Sunda Islands) และยังเป็นที่ตั้งของจังหวัด บาหลี 1 ใน 33 จังหวัดของประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากเป็น อันดับต้นๆ ของโลก


 อันดับ 3 หมู่เกาะกาลาปากอส (Galápagos Islands) ประเทศเอกวาดอร์ เป็น หมู่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีความน่าสนใจทั้งด้านธรณี วิทยา สัตววิทยา และนิเวศวิทยาเป็นอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. 2550 องค์การยูเนสโกได้จัดให้ หมู่เกาะกาลาปากอส เป็นมรดกโลกที่อยู่ในสภาวะอันตราย


อันดับ 4 เกาะเมาวี (Maui) รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เป็น เกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในหมู่เกาะฮาวาย และเป็นเกาะที่ใหญ่อันดับที่ 17 ในสหรัฐอเมริกา และมีขนาดใหญ่ที่สุดในเกาะทั้งสี่ของเมาวีเคาน์ตี


 อันดับ 5 แนวปะการังใหญ่ เกรท แบริเออร์ รีฟ (Great Barrier Reef) ประเทศออสเตรเลีย เป็น “สิ่งก่อสร้างที่มีชีวิต” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่อยู่อาศัยอันอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตทางทะเล รวมทั้งปะการังชนิดอ่อน และชนิดแข็ง สีสวยกว่า 350 ชนิด ตลอดจนปลา และสิ่งมีชีวิตในทะเลที่น่าพิศวงต่างๆ อีก 1,500 ชนิด


อันดับ 6 เกาะซานโตรินี (Santorini Island) ประเทศกรีซ เกาะ ทางตอนใต้ของกรีซที่สวยงามด้วยบ้านสีขาว-ฟ้า อีกทังยังเป็นที่ตั้งของเมือง ซานโตรินี เมืองท่องเที่ยวที่มีความสวยงามจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมากแห่งหนึ่ง ของประเทศกรีซ


 อันดับ 7 เกาะคาวายอี หรือ เกาะคาวายอิ (Kauai Island) รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริก เป็น เกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของฮาวาย ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นเกาะท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และได้รับการเรียกขานว่าเป็น”เกาะแห่งสวน” (The Garden Isle) โดยเกาะนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะหลัก อีกทั้งยังเป็นเกาะที่ถือว่ามีความเก่าแก่ที่สุดในหมู่เกาะฮาวาย


 อันดับ 8 เกาะบิ๊กไอส์แลนด์ (Big Island) หรือ เกาะฮาวาย (Hawaii) รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เป็นที่ตั้งของรัฐฮาวาย (Hawaii) หมู่เกาะฮาวายอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก


อันดับ 9 เกาะซิซิลี (Sicily Island) ประเทศอิตาลี เป็น ที่ตั้งของแคว้นปกครองตนเองซิซิลี เป็นหนึ่งใน 20 แคว้นของประเทศอิตาลี เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีประวัติต่อ เนื่องยาวนานกว่า 4,000 ปี


 อันดับ 10 แวนคูเวอร์ ไอส์แลนด์ (Vancouver Island) รัฐบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา  เป็นที่ตั้งของเมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) เมืองท่าชายฝั่งที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ และในภูมิภาคแปแซิฟิก


ที่มา : travel.thaiza.com

 

เตรียมตัวอย่างไรก่อนไปเที่ยวภูเขา



การเดินทางท่องเที่ยวทุกรูปแบบ ทุกกิจกรรม และทั่วทุกพื้นที่ หากมีการเตรียมตัวสำหรับการเดินทางที่ดีแล้ว การท่องเที่ยวในเส้นทางนั้นก็จะได้รับความสนุกสนาน เก็บรับความสุขจากการเดินทาง การท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภูเขานั้น ยิ่งต้องมีการเตรียมพร้อมอย่างยิ่ง สิ่งที่ต้องเตรียม คือ...

          1. เตรียมหาข้อมูลของภูเขาที่จะไปเที่ยวชมว่ามีสภาพเช่นไร มีระดับความสูงเท่าใด เส้นทางเป็นอย่างไร รถยนต์ขึ้นถึง หรือต้องเดินเท้าเป็นระยะทางเท่าใด กี่กิโลเมตร กี่ชั่วโมง สภาพความสูงชันของเส้นทาง ระหว่างทางต้องผ่านสภาพป่าอย่างไร ป่าดงดิบ ป่าโปร่ง หรือเดินทางเส้นทางที่เป็นถนนเก่า เพื่อจะได้เตรียมฟิตความแข็งแกร่งของร่างกายให้พร้อมรับกับสภาพ และจะได้เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นไปให้พร้อม

          2. เตรียมจองตั๋วโดยสาร สำหรับการเดินทางล่วงหน้า ยิ่งหากเป็นช่วงเทศกาล หรือวันหยุดติดต่อกันหลายวัน การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ควรตัดสินใจให้ดีว่าคุ้มหรือไม่ที่จะต้องขับรถไปเอง แล้วจอดรถทิ้งไว้หลายวันในช่วงที่เดินขึ้นเขา และกลับลงมาด้วยความอ่อนเพลีย แล้วยังต้องขับรถทางไกลกลับบ้าน หากไม่คุ้ม ก็ควรใช้รถประจำทาง รถไฟ หรือเช่าเหมารถไปส่งเป็นหมู่คณะจะดีกว่า

          3. เตรียมจองที่พัก ซึ่งที่พักบนแหล่งท่องเที่ยวประเภทภูเขานั้น จะเป็นการพักแบบแคมป์ ซึ่งมักจะไม่มีบ้านพักรองรับ หากพื้นที่ใดไม่มีเต็นท์ให้เช่า ก็จำเป็นต้องเตรียมจัดหาเต็นท์ไปเอง หรือหากที่ใดอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ และมีบ้านพัก ก็ควรติดต่อจองที่พักล่วงหน้า และอุทยานแห่งชาติบางแห่งจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวว่า ไม่เกินกี่คนต่อวัน ก็คงต้องติดต่อจองและแจ้งจำนวนคนพร้อมวันเดินทางไปล่วงหน้า เพื่อจะได้ไม่ผิดหวัง ไปได้แต่ตีนดอย เพราะเกินจำนวนอุทยานฯ ไม่ยอมให้ขึ้น

          4. เตรียมฟิตร่างกาย ให้แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับสภาพเส้นทางที่สูงชันยาวไกล โดยการวิ่งหรือถีบจักรยานวันละ 1 ชั่วโมงตลอด 1 สัปดาห์ เพื่อให้กำลังอยู่ตัว ก็จะทำให้ร่างกายไม่เหนื่อยล้าเกินไปและเที่ยวได้สนุก

          5. เตรียมอุปกรณ์เครื่องกันหนาวไปให้พร้อม เพราะยอดเขาแต่ละแห่งอากาศมักจะหนาวเย็นตลอดปี เพราะอยู่บนระดับความสูง โดยสอบถามหรือหาข้อมูลเสียก่อนว่า อุณหภูมิในช่วงนั้นน่าจะกี่องศาฯ เพื่อจะได้เตรียมเสื้อผ้า ถุงนอน ไปได้พอดี เสื้อกันหนาวควรมีน้ำหนักเบา แต่ป้องกันความหนาวเย็นได้ดี

          6. รองเท้าปีนเขา ควรเป็นรองเท้าหุ้มส้น หรือหุ้มข้อ ที่เหมาะสมกับสภาพของภูเขา เช่น หากเป็นภูเขาดินร่วนและแฉะลื่นในหน้าฝน ควรใช้รองเท้าที่มีดอกยางแข็ง ร่องลึก หุ้มข้อ หากพื้นที่เป็นหินอาจใช้รองเท้าพื้นยางนุ่มเพื่อเกาะพื้นหิน เป็นต้น แต่ข้อสำคัญ รองเท้าที่ใช้จะต้องเป็นรองเท้าที่สวมใส่สบายเท้า มีสภาพดีพอที่จะไม่เสี่ยงไปชำรุดกลางทาง เพราะจะเกิดปัญหามากมาย และต้องเคยสวมใส่เป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ใช่รองเท้าใหม่ เพราะรองเท้าคู่ใหม่อาจกัดเท้า จนไม่สามารถใส่เดินได้เป็นระยะทางไกลๆ

          7. เตรียมใจให้พร้อม เพราะการเดินขึ้นดอยนั้น จิตใจต้องสำคัญยิ่ง หากไม่รักจริงก็ถอนตัวเสียแต่เนิ่นๆ อย่าไปทรมานตัวเอง ทรมานเพื่อนร่วมทางเลย และสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือจิตสำนึกแห่งการดูแลรักษาธรรมชาติให้งดงามยั่งยืนตลอดไป

แนะนำกิจกรรมที่ทำในฤดูหนาวเพื่อรักษาสุขภาพ

1. แช่น้ำอุ่นๆในอ่าง แน่นอน ร่างกายตอนหน้าหนาว เราต้องการความอบอุ่นก็ต้องแช่น้ำอุ่นกันเนอะ ระหว่างแช่แนะนำให้จุดเทียนกลิ่นหอมๆ ด้วย 
2. ข้อนี้สำหรับคนที่มีคู่แล้ว ลองชวนหวานใจ ไปเลือกเสื้อกันหนาว เอาให้แบบคล้ายๆกัน เวลาใส่จะได้คู่กัน กุ้กกิ้กไปในตัว
3. ข้อแนะนำสำหรับคนที่ไม่มีคู่ ซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม ผืนหนาๆ อุ่น เปิดเพลงเบาๆ สบายๆ แล้วก็หลับยาวเลยคร้าบ
4. หาสูตรเครื่องดื่มอุ่นๆมาลองทำดื้มกันเอง พวกชารสต่างๆ กาแฟ หรือ ถ้าให้ดี ไปนั่งกินที่ร้านคลาสสิคๆ ข้างนอก นั่งจิบเครื่องดื่มผ่อนคลายอารมณ์
5. ชวนมิตรสหายเพื่อนๆ เราไปเล่นโยคะร้อน ดูจากทรงหน้าหนาวนี่ ไปว่ายน้ำ คงจะแข็งตายกันหมด เล่นโยคะร้อน คงจะดีกว่า บำรุงทั้ง
สุขภาพ หุ่น แล้วก็อบอุ่นร่างกายเราด้วย
6. เข้าสปานวดผ่อนคลาย จะช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดเราดีขึ้น ผิวพรรณก็จะชุ่มชื้นขึ้นด้วย เพราะหน้าหนาวผิวจะแห้งง่าย ดูหยาบกร้านไม่สดใส หรือถ้าไปสปาลำบาก ก็หาครีมบำรุงผิว ไว้ทาตัว ผิวจะได้ชุ่มชื่นตลอดวัน



ทะเลหมอกสวยๆหน้าหนาวที่ต้องไปสัมผัส


ใกล้ปีใหม่แล้วคิดออกหรือยังครับว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี  สำหรับใครที่คิดยังไม่ออกผมขอแนะนำ  สวรรค์บนดินที่สวยงามทั้ง 7 แห่งนี้ให้คุณไปสัมผัสครับ


 1. ทะเลหมอกที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า      

 เนื่องจากมีสภาพภูมิอากาศคล้ายภูกระดึงและภูหลวงเพราะมีความสูงไล่เลี่ยกัน ดังนั้นในช่วงฤดูหนาวอากาศจะค่อนข้างหนาวเย็นมากๆ โดยเฉพาะในฤดูหนาวอุณหภูมิจะต่ำมากประมาณ 0-4 องศาเซลเซียสมีหมอกคลุมและทะเลหมอกสวยๆทั่วบริเวณ และถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูอื่นก็ยังหนาวเย็นเกือบตลอดปีครับ




 2. ทะเลหมอกที่อุทยานแห่งชาติเขาค้อ

โดยอาการจะค่อยๆหนาวเย็นและมีทะเลหมอกมากตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน-กลางเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากยอดเขาค้อมีความสูง 1,174 เมตร สภาพอากาศบนเขาค้อจึงค่อนข้างเย็นและเย็นจัดในฤดูหนาว บริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำรัตนัย และริมเส้นทางสาย 2196 เป็นจุดที่สามารถชมทะเลหมอกได้อย่างงดงามมาก 



3. ทะเลหมอกที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง

อุทยานแห่งชาติที่มีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามและจุดชมวิวที่สามารถชมบรรยากาศอันร่มรื่น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่จุดชมวิวดอยกิ่วลมจะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมทะเลหมอกในช่วงเช้าตรู่ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้ตื่นตาไปกับความงดงามของทะเลหมอกอันกว้างใหญ่ไพศาล 




 4. ทะเลหมอกที่วนอุทยานภูชี้ฟ้า

แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงราย ฤดูหนาวจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ในยามเช้าที่ภูชี้ฟ้าจะถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอกกว้างใหญ่จดสันเขาทอดยาวไปจนถึงชายแดนไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาวที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้นๆของเมืองไทย 



 5. ทะเลหมอกที่ดอยเสมอดาว 

อุทยานแห่งชาติศรีน่าน จังหวัดน่าน จุดชมวิวอีกจุดหนึ่งของอุทยานที่คุณจะได้ตื่นตาไปกับความงดงามของทุ่งทะเลหมอกยามหน้าหนาวและเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา 




 6. ทะลหมอกที่ม่อนกิ่วลม ม่อนครูบาใส ม่อนพูนสุดา ม่อนกระทิง อุทยานแห่งชาติแม่เมย จังหวัดตาก 

เป็นแหล่งชมทะเลหมอกที่มีชื่อเสียงมานาน เหมาะมาชมในช่วงเดือนตุลาคม - กุมภาพันธ์ และยังสามารถเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง เช่น ถ้ำแม่อุสุ น้ำพุร้อน ได้ด้วย 


7. ทะลหมอกที่ยอดดอยอินทนนท์และจุดชมทิวทัศน์ กม. 41

 อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ยอดเขาสูงสุดของประเทศ อากาศบนยอดดอยหนาวเย็นตลอดทั้งปี ยามฤดูหนาวหนาวจัดจะมีเมฆหมอกครึ้มและในช่วงยามเช้าจะมีทะเลหมอกปกคลุมเหนือหุบเขา